วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4012/2552

ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  4012/2552
นางมุ้ยเกียว แซ่ตั้ง
     โจทก์
นายสมศักดิ์ ประติตัง
     จำเลย

ป.พ.พ. มาตรา 5, 640

          การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนหนึ่ง แต่โจทก์นำสืบว่าจำเลยชำระหนี้บางส่วนแล้ว คงเหลือหนี้ไม่ถึงจำนวนตามคำฟ้องนั้น ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเอาเงินจากจำเลยเกินกว่าสิทธิที่โจทก์พึงมีตามกฎหมายดังที่จำเลยฎีกา เนื่องจากจำเลยชอบที่จะต่อสู้คดีได้และหากจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลก็ไม่ได้พิจารณาเฉพาะคำฟ้องของโจทก์เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาจากคำให้การจำเลยและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบ ดังนี้ พฤติการณ์ของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการฟ้องคดีนี้

________________________________

          โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 163,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 154,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
            ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเรียกต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 163,625 บาท           แต่โจทก์เบิกความว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยแล้วบางส่วน คงเหลือต้นเงินเพียง 90,000 บาทเศษ พฤติกรรมดังกล่าวของโจทก์บ่งชี้ว่าจงใจใช้สิทธิเรียกเอาเงินจากจำเลยเกินกว่าภาระหนี้ที่แท้จริง ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 พิพากษายกฟ้องให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
          โจทก์อุทธรณ์
            ศาลอุทธรณ์ภาค4 วินิจฉัยว่า ถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต แต่เพื่อให้ผลการดำเนินคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล สมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้โจทก์ 1,417.50 บาท
          จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
            ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนหนึ่ง แต่โจทก์นำสืบว่าจำเลยชำระหนี้บางส่วนแล้วคงเหลือหนี้ไม่ถึงจำนวนตามคำฟ้องนั้น ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเอาเงินจากจำเลยเกินกว่าสิทธิที่โจทก์พึงมีตามกฎหมายดังที่จำเลยฎีกา เนื่องจากจำเลยชอบที่จะต่อสู้คดีได้และหากจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลก็ไม่ได้พิจารณาเฉพาะคำฟ้องของโจทก์เท่านั้นแต่ต้องพิจารณาจากคำให้การจำเลยและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบ ดังนี้ พฤติการณ์ของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการฟ้องคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
          พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ




( ชินวิทย์ จินดา แต้มแก้ว - พีรพล พิชยวัฒน์ - พิสิฐ ฐิติภัค )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น