คำพิพากษา
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ที่ ๘๙๑๔/๒๕๕๐ ศาลฎีกา
วันที่ ๒๑ เดือน
ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ความแพ่ง
นางบุญศรี หงษ์สมดี
โดยนายสุรวัฒณ์ หงษ์สมดี โจทก์
ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน
ระหว่าง
นายสิงฆ์โตหรือสิงห์โตหรือสิงโต ภาวรรณหรือภาวรรณ์
โดยนายสุรศักดิ์
ภาวรรณ์
ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน ที่ ๑
นายคำตัน
ทองรี ที่ ๒ จำเลย
เรื่อง ที่ดิน
ขับไล่ ละเมิด
โจทก์
ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค๔
|
ลงวันที่
|
๑
|
เดือน
|
เมษายน
|
พุทธศักราช
|
๒๕๔๖
|
ศาลฎีกา
|
รับวันที่
|
๒๕
|
เดือน
|
กุมภาพันธ์
|
พุทธศักราช
|
๒๕๔๗
|
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน
พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เลขที่ ๑๒๔๔ เลขที่ดิน
๒๙
ตำบลกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
เนื้อที่ ๓๒ ไร่
๒๐ ตารางวา เมื่อ
เข้าปลูกโรงเรือนและทำลายทรัพย์สินในที่ดินดังกล่าวโดยจำเลยทั้งสองไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนและงดเว้นการทำลายทรัพย์สินในที่ดิน
ของโจทก์แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจาก
ที่ดินพิพาท และส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้
จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ ๒๐,๐๐๐
บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะ
รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ ๑
ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยเข้าครอบ
ครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่โจทก์ได้ไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นผู้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจนเจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อออกใบจองเลขที่ ๗
และหนังสือ
รับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เลขที่ ๑๒๔๔ ตำบลกุรุคุ
อำเภอเมืองนครพนม
จังหวัดนครพนม ให้แก่โจทก์
เดิมที่ดินพิพาทเป็นของบิดามารดาจำเลยที่
๑ ต่อมาบิดา
มารดาได้ยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑
หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ได้เข้าครอบครอง
ทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อเนื่องตลอดมาทุกปี โดยสงบ
เปิดเผยและเจตนาเป็น
เจ้าของเป็นเวลากว่า ๒๐
ปี จนกระทั่งเดือนตุลาคม ๒๕๓๙
จำเลยที่ ๑ ทราบว่า
โจทก์เข้ามาโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาท จำเลยที่
๑ จึงคัดค้านและร้องขอความเป็นธรรม
ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนมและนายอำเภอเมืองนครพนม จำเลยที่
๑ ได้
เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี ๒๕๒๑
จนถึงปัจจุบัน จำเลยที่ ๒
ไม่ได้
เข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินปีละ ๓,๐๐๐
บาท ขอให้
ยกฟ้องโจทก์ ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เลขที่ ๑๒๔๔
เลขที่ดิน ๒๙
ตำบลกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
เนื้อที่ ๓๒ ไร่
๒๐ ตารางวา
และนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว
ให้โจทก์ส่งมอบต้นฉบับหนังสือ
รับรองการทำประโยชน์แก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนมภายใน ๑๕
วัน นับแต่
วันที่ศาลมีคำพิพากษา และพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑
ห้ามโจทก์
และบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑
หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่
๑ เสียภาษีบำรุงท้องที่ของที่ดิน
คนละแปลงกับที่ดินพิพาท และจำเลยที่
๑
เสียภาษีบำรุงท้องที่ไม่ติดต่อกันทุกปี
โจทก์
ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี ๒๕๓๔
ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกใบจองเลขที่ ๗
และหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.)
เลขที่ ๑๒๔๔
ให้แก่โจทก์โดยชอบ จำเลยที่ ๑
ไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนหนังสือ
รับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว รวมทั้งนิติกรรมใด ๆ
ที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาท และไม่มีสิทธิ
ขอให้โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ ๑
หรือส่งมอบหนังสือรับรองการทำ-
ประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เลขที่ ๑๒๔๔ แก่เจ้าพนักงานที่ดิน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า
จำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธครอบครอง
ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่
๑๒๔๔ เล่ม ๑๓
ก.
เลขที่ดิน ๒๙
ตำบลกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
เฉพาะส่วนพื้นที่
ตามเส้นสีแดง เนื้อที่
๒๗ ไร่ ๗๘
ตารางวา
ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.๑
ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว กับให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่
๑๒๔๔ เล่ม ๑๓
ก. เลขที่ดิน ๒๙
ตำบลกุรุคุ อำเภอ
เมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
เฉพาะส่วนพื้นที่ตามเส้นสีแดง
เนื้อที่ ๒๗ ไร่
๗๘
ตารางวา ที่ทับที่ดินของจำเลยที่ ๑
กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง
โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๓,๐๐๐
บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาโจทก์ถึงแก่ความตาย นายสุรวัฒณ์
หงษ์สมดี บุตรโจทก์
ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค
๔ อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค
๔ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการ-
ทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่
๑๒๔๔ เล่ม ๑๓
ก. เลขที่ดิน ๒๙
ตำบลกุรุคุ อำเภอ
เมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
เนื้อที่ ๓๒ ไร่ ๒๐ ตารางวา
ค่าฤชาธรรมเนียมใน
ศาลชั้นต้นในส่วนฟ้องโจทก์ให้เป็นพับ
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสองรวม ๓,๐๐๐
บาท
โจทก์ฎีกา
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ ๑
ถึงแก่ความตาย นายสุรศักดิ์ ภาวรรณ์
บุตรจำเลยที่ ๑
ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า
เมื่อปี ๒๕๓๓
โจทก์เข้าจับจองที่ดินพิพาทเนื้อที่
๔๕ ไร่ จากนั้นจึงขอออกใบจองไว้
ต่อมาปี ๒๕๓๘
โจทก์จึงยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามสำเนาคำขอออก
หนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.๒
เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม
ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เลขที่ ๑๒๔๔ ตำบลกุรุคุ
อำเภอ
เมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
เนื้อที่ ๓๒
ไร่ ๒๐ ตารางวา
ให้แก่โจทก์ ตามสำเนา
หนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.๕
หลังจากนั้นโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด โจทก์เคยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทแก่บุคคล
ภายนอกหลายครั้ง ตามสำเนาหนังสือสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.๖
ถึง จ.๘ โจทก์
ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาท ประจำปี
๒๕๓๘ และปี ๒๕๔๐
ตามใบแทนใบเสร็จรับเงินและใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.๙
และ จ.๑๐ ปลายปี
๒๕๓๙ โจทก์
พานายทุนไปดูที่ดินพิพาทเพื่อเช่าทำโรงงาน
พบจำเลยทั้งสองกับพวกเข้ามาปลูกสร้างกระท่อมและตัดต้นไม้ในที่ดินพิพาท โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลย
ทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย
โจทก์นำชี้แนวเขตที่ดินพิพาทตามแนวกรอบเส้นสีดำ จำเลยนำชี้แนวเขตที่ดินพิพาทตามแนวกรอบเส้นสีแดง ส่วนที่โจทก์
จำเลยพิพาทกัน เนื้อที่
๒๗ ไร่ ๗๘
ตารางวา
ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.๑
มีผู้มาติดต่อขอเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐
บาท แต่โจทก์จำเลยมีเรื่อง
ฟ้องกันทำให้ไม่มีการทำสัญญาเช่า
จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่
๑ เกิดที่ตำบลกุรุคุ
อำเภอเมืองนครพนม
จังหวัดนครพนม บิดามารดาจำเลยที่ ๑
มีที่ดินประมาณ ๖๐ ไร่
รวมทั้งที่ดินพิพาท
มีอาณาเขตทิศเหนือจดทางสาธารณะ ทิศใต้จดทางหลวงแผ่นดิน ทิศตะวันออกจดที่ดิน
ของนายปรีชา ทิศตะวันตกจดที่ดินของนายกอง แสงเขียว
จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของ
ที่ดินพิพาท โดยได้รับมรดกมาจากบิดามารดา จำเลยที่
๑ เข้าครอบครองทำประโยชน์
ในที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาประมาณ ๓๖
ปี โดยจำเลยที่ ๑
ปลูกต้นไม้ ปลูกกระท่อม
และล้อมรั้วเป็นแนวเขตไว้ ต่อมาเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๙
โจทก์ได้แจ้งจำเลยที่ ๑ ว่า
จำเลยที่ ๑
บุกรุกที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๑
ไปพบจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วจำเลยทั้งสองไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจึงทราบว่าโจทก์ได้ขอออกหนังสือรับรองการ-
ทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ในที่ดินพิพาท
ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.๒
จำเลยทั้งสองจึงร้องขอความเป็นธรรมต่อนายอำเภอเมืองนครพนมเรื่องโจทก์ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ทับที่ทำกินของราษฎร
ตามสำเนาหนังสือเรื่องขอความเป็นธรรมเอกสารหมาย ล.๗
นายอำเภอเมืองนครพนม
ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ผลการสอบสวนสรุปได้ว่า นายสิงห์ทอง
จ่าวงศ์ กำนันตำบลกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
ได้จัดทำรายงาน
การประชุมสภาตำบลกุรุคุว่าสภาตำบลมีมติรับรองแนวเขตที่ดินพิพาทเพื่อประกอบการพิจารณาการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ทั้งที่ไม่มีเรื่องรับรอง
แนวเขตที่ดินพิพาทเข้าพิจารณาในสภาตำบลกุรุคุแต่อย่างใด
ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มีคำสั่งปลดนายสิงห์ทองออกจากตำแหน่ง ตามสำเนาคำสั่งจังหวัดนครพนม
เอกสารหมาย ล.๔
พิเคราะห์แล้ว
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า
ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ที่ตำบลกุรุคุ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
มีเนื้อที่ ๒๗ ไร่
๗๘ ตารางวา
ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.๑ โจทก์ได้ขอออกใบจองสำหรับที่ดิน
ดังกล่าวและทางราชการออกใบจองให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ ๑๑
มกราคม ๒๕๓๔ ตาม
สำเนาใบจองเอกสารหมาย จ.๑
และทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) ให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ ๗
ตุลาคม ๒๕๓๙ จำนวนเนื้อที่
๓๒ ไร่ ๒๐
ตารางวา ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.๕
ในการชี้สองสถานโจทก์แถลงรับว่าฝ่ายจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท คดีมีปัญหา
ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยที่ ๑ โจทก์
เบิกความว่า เมื่อปี
๒๕๓๓ นายสำลี มีสวัสดิ์
เพื่อนสามีโจทก์มาชักชวนให้โจทก์
จับจองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่าโดยทางทิศใต้ติดกับทางหลวงแผ่นดินสายสกลนคร
- นครพนม
โจทก์จับจองเป็นเนื้อที่ประมาณ
๔๕ ไร่ โดยได้เดินเข้าไปตรวจสอบในที่ดินที่จะจับจองดังกล่าว จับจองแล้วโจทก์ได้ปลูกพืชได้แก่ กล้วย
มะม่วง มะขาม
และยูคาลิปตัส นายสำลีพยานโจทก์เบิกความว่า พยานทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน
ว่างเปล่าจึงได้ชักชวนโจทก์มาจับจองและพยานได้จับจองที่ดินบริเวณดังกล่าวด้วย โดย
จับจองที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ดินพิพาททางทิศตะวันตก จำเลยที่
๑ เบิกความว่า
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของบิดามารดาจำเลยที่ ๑
ซึ่งมีประมาณ ๖๐ ไร่
เมื่อบิดามารดาถึงแก่ความตายที่ดินทั้งหมดตกเป็นของจำเลยที่ ๑
ทางทิศเหนือของที่ดินที่รับมรดกจดทางสาธารณะ ทิศใต้จดถนนสายนครพนม - สกลนคร ทิศตะวันออกจดที่ดินของนายปรีชา ทิศตะวันตกจดที่ดินของนายกอง แสงเขียว
จำเลยที่ ๑ เข้าทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตลอดมาเป็นเวลาประมาณ ๓๖
ปี
ปัจจุบันก็ยังครอบครองที่ดินพิพาทอยู่
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า
ก่อนโจทก์ได้รับใบจองตามเอกสารหมาย จ.๑
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า หรือเป็นที่ดินที่จำเลยที่ ๑
ครอบครองทำประโยชน์อยู่ จำเลยที่
๑ มีนายกอง นายเขือง
พลจันทร์ นายสมเด็จ ยาปัญ
และนายบุญตา โพธิ์นัย มาเบิกความว่า
เห็นจำเลยที่ ๑
ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา
ไม่เคยเห็นโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์
พยานจำเลยที่ ๑ ทั้ง
๔ คน ดังกล่าว
ล้วนแต่อาศัยอยู่ในท้องที่ตำบลกุรุคุ
อันเป็นท้องที่ซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่
คำเบิกความของพยานดังกล่าว
จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อ
โจทก์คงมีแต่นายสำลีซึ่งเป็นผู้ชักชวนให้โจทก์เข้าจับจองที่ดินพิพาท
มาเบิกความว่า เห็นโจทก์เข้าถางที่ดิน ทำรั้วและปลูกผักสวนครัว ไม่เคยเห็นจำเลย
เข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาท กับมีนายทองดี
เหมยป่า เบิกความว่า ตลอดเวลาที่พยาน
ผ่านไปมาไม่เคยเห็นจำเลยที่ ๑
เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท
เห็นว่า
นายสำลีมีส่วนได้เสียเพราะมีกรณีพิพาทอยู่กับนายกองในส่วนที่ดินที่นายสำลีจับจอง
ดังที่นายกองเบิกความ ส่วนนายทองดีก็อาศัยอยู่ตำบลโพธิ์ตาก คนละท้องที่กับตำบลกุรุคุซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่
นายทองดีเพียงแต่ขับรถยนต์ผ่านที่ดินพิพาทเท่านั้น ประการสำคัญโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยทั้งสองว่า
โจทก์เคยให้การไว้ต่อเจ้าพนักงานเกี่ยวกับการได้ที่ดินพิพาทมาตามเอกสารหมาย ล.๑
ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวโจทก์ให้ถ้อยคำต่อ
เจ้าพนักงานสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑
ร้องเรียนต่อทางราชการว่าโจทก์ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่ดินของจำเลยที่ ๑
โดยโจทก์ให้ถ้อยคำต่อนายณัฐวุฒิ
ถุนนอก ปลัดอำเภอเมืองนครพนม เมื่อวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
ว่า ตามที่โจทก์มีชื่อเป็น
ผู้ครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ ก.
เลขที่ ๑๒๔๔ เล่ม
๑๓ ก. หน้า
๔๔ ตำบลกุรุคุ
อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
และมีชื่อในใบจอง (น.ส. ๒) เล่ม
๓๖ หน้า ๒
นั้น
โจทก์ไม่เคยยื่นคำร้องขอออกเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด และที่ดินแปลงดังกล่าว
ไม่ใช่ของโจทก์
ไม่เคยรู้ว่าที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ที่ใด
โจทก์ยินดีที่จะคืนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่เจ้าของที่แท้จริง โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น และโจทก์ให้ถ้อยคำต่อนายนคร บุญมีผล
ปลัดอำเภอเมืองนครพนม เมื่อวันที่ ๑๓
ธันวาคม ๒๕๓๙ ว่า
โจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยการจับจอง
โดยนายผดุงศักดิ์ คำมีอ่อน บุตรเขยเป็นผู้ดำเนินการ หลังจากออกใบจองแล้วโจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร แต่ได้ฝากให้นายสำลีเป็นผู้ดูแลแทน
คำเบิกความของโจทก์ที่อ้างว่าในการจับจองที่ดินพิพาทโจทก์เข้าไปตรวจสอบด้วยตนเองและได้ปลูกพืชในที่ดินพิพาทหลังจากจับจองจึงรับฟังไม่ได้
เนื่องจากขัดกับถ้อยคำที่ให้ไว้ต่อนายณัฐวุฒิและนายนครปลัดอำเภอตามเอกสารหมาย ล.๑
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค ๔
วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านความถูกต้องของเอกสารหมาย ล.๑
โจทก์
เห็นว่า จำเลยที่
๑
เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ให้ถ้อยคำต่อนายณัฐวุฒิ แต่จำเลย
ที่ ๑
ก็หาได้นำนายณัฐวุฒิมาเบิกความยืนยันความถูกต้องของเอกสารหมาย ล.๑
ไม่ โจทก์จึงไม่จำต้องคัดค้านความถูกต้องของเอกสารหมาย ล.๑
นั้น เห็นว่า เอกสารหมาย
ล.๑ มี
๒ ส่วน
คือส่วนที่โจทก์ให้ถ้อยคำต่อนายนครซึ่งส่วนนี้โจทก์ไม่ได้ฎีกาคัดค้าน
กับส่วนที่โจทก์ให้ถ้อยคำต่อนายณัฐวุฒิที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่
๑ ไม่ได้นำนายณัฐวุฒิ
มาเบิกความนั้น เห็นว่า
เอกสารส่วนนี้นายณัฐวุฒิได้ทำขึ้นในการบันทึกถ้อยคำของ
โจทก์ที่ให้ไว้ต่อนายณัฐวุฒิในฐานะปลัดอำเภอเมืองนครพนม ถือได้ว่าเป็นเอกสารมหาชน
ที่เจ้าพนักงานได้จัดทำขึ้น ทั้งมีนายอรรณพ เกิดวิบูลย์
ปลัดอำเภอเมืองนครพนมลงชื่อ
รับรองสำเนาถูกต้อง เมื่อโจทก์ไม่นำสืบถึงความไม่ถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว
จึงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ให้ถ้อยคำไว้เช่นนั้นจริง โดยจำเลยที่
๑ หาจำต้องนำนายณัฐวุฒิ
มาเบิกความรับรองเอกสารหมาย ล.๑
ดังที่โจทก์ฎีกาไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า การขอออก
ใบจองตามเอกสารหมาย จ.๑
และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามเอกสารหมาย จ.๕
โจทก์มีนายอุปถัมภ์ โชติงาม
ช่างรังวัด และนายโชคชัย พิสัยพันธ์
อดีตเจ้าพนักงาน
ที่ดินจังหวัดนครพนมมาเบิกความถึงความถูกต้องของเอกสารหมาย จ.๑
และ จ.๕
ของโจทก์ เห็นว่า
ทั้งนายอุปถัมภ์และนายโชคชัยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกใบจอง
ตามเอกสารหมาย จ.๑
คงเกี่ยวข้องเฉพาะการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตาม
เอกสารหมาย จ.๕
เท่านั้น
สำหรับนายโชคชัยคงเบิกความถึงหลักเกณฑ์การออกหนังสือ
รับรองการทำประโยชน์และเป็นผู้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามเอกสารหมาย
จ.๕ ให้โจทก์ในฐานะเจ้าพนักงานที่ดินเท่านั้น แต่พยานไม่เคยไปยังที่ดินพิพาทและ
ไม่ทราบว่าตั้งอยู่ที่ใด ส่วนนายอุปถัมภ์แม้ว่าจะเบิกความว่า ในปี
๒๕๓๘ ขณะที่พยาน
ไปรังวัดที่ดินพิพาทเห็นโจทก์ทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยปลูกต้นไม้ เช่น
มะขาม
และยูคาลิปตัส แต่คำเบิกความของนายอุปถัมภ์ดังกล่าวก็ขัดกับบันทึกถ้อยคำของโจทก์
ที่ให้ไว้ต่อนายนครเมื่อวันที่ ๑๓
ธันวาคม ๒๕๓๙ ตามเอกสารหมาย
ล.๑ ที่ให้ถ้อยคำ
ไว้ว่าหลังจากออกใบจองแล้วโจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรในที่ดินพิพาท ต้นไม้ที่
นายอุปถัมภ์เห็นในที่ดินพิพาทน่าจะเป็นต้นไม้ที่จำเลยที่ ๑
ปลูกไว้ดังที่จำเลยที่ ๑ นำสืบ
ส่วนที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า
โจทก์ได้จำนองที่ดินพิพาทไว้แก่บุคคลอื่นถึง ๓
ครั้ง เป็นการ
ยืนยันถึงการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า
การจดทะเบียนจำนอง
ที่ดินมิได้เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นโดยไม่มีข้อโต้แย้งว่าผู้จำนองเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
ที่ดินแต่อย่างใด พยานหลักฐานตามที่จำเลยที่ ๑
นำสืบมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐาน
ของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ก่อนโจทก์ได้รับใบจองตามเอกสารหมาย จ.๑
จำเลย
ที่ ๑
เป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท
หาใช่เป็นที่ดินรกร่างว่างเปล่าไม่
ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยที่ ๑
ปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดี
เปลี่ยนแปลง
ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑
นั้นชอบแล้ว
ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง แม้ตามคำฟ้องแย้งจำเลยที่ ๑
จะขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการ
ทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เลขที่ ๑๒๔๔ เนื้อที่
๓๒ ไร่ ๒๐
ตารางวา ก็ตาม แต่เมื่อ
มีการทำแผนที่วิวาทตามเอกสารหมาย จ.ล.๑
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว
คงออกทับที่ดินของจำเลยที่ ๑
เป็นเนื้อที่เพียง ๒๗ ไร่
๗๘ ตารางวา ซึ่งอยู่ภายใน
เส้นสีแดงตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.ล.๑ จึงถือว่าจำเลยที่ ๑
ฟ้องแย้งขอให้
เพิกถอนเฉพาะส่วนภายในเส้นสีแดงเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือ
รับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เลขที่ ๑๒๔๔ เฉพาะส่วนพื้นที่ตามเส้นสีแดง
เนื้อที่ ๒๗
ไร่ ๗๘ ตารางวา
จึงชอบแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔
พิพากษาให้เพิกถอน
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวรวมทั้งส่วนที่อยู่นอกเส้นสีแดงด้วย จึงเป็นการ
พิพากษาเกินคำขอ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๑๔๒
วรรคหนึ่ง
ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา
ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธี-
พิจารณาความแพ่ง มาตรา
๑๔๒ (๕) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๖
และมาตรา ๒๔๗
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่
ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นในส่วนฟ้องโจทก์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไป
ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔
ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
นายชินวิทย์ จินดา
แต้มแก้ว
นายพีรพล พิชยวัฒน์
นายพิสิฐ ฐิติภัค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น