วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1939/2551

   คำพิพากษา                                                                                            
                       
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์

ที่                ๑๙๓๙/๒๕๕๑                                                    ศาลฎีกา
วันที่    ๓         เดือน       เมษายน                พุทธศักราช  ๒๕๕๑
 ความแพ่ง                      
                                                                                                                                        
                        วัดอนามัยเกษม                                                                              โจทก์
ระหว่าง             
                        นายหมิ้น  หมั่นสู้  โดยนางสมถวิล  หมั่นสู้ 
                        ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน  ที่  ๑
                        นายวิบูลย์หรือกิตติพันธ์  พูลวรลักษณ์  ที่  ๒
                        นายวิเศษ  พูลวรลักษณ์  ที่  ๓
                        ธนาคารนครหลวงไทย  จำกัด  (มหาชน)  ที่  ๔                                       จำเลย
เรื่อง                  ที่ดิน  ขับไล่  ละเมิด                                                          
                       
จำเลยทั้งสี่                         ฎีกาคัดค้าน                        คำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค  ๘
ลงวันที่
๒๙
เดือน
เมษายน
พุทธศักราช
๒๕๔๘
ศาลฎีกา
รับวันที่
๑๔
เดือน
กุมภาพันธ์
พุทธศักราช
๒๕๔๙

                        โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า  โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นวัดในพุทธศาสนา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา  มีพระอธิการสหัส  สิรินธโร  เจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของโจทก์ โจทก์มอบอำนาจให้นางนริศรา  นำชัยเจนกิจ  ดำเนินคดีแทน  จำเลยที่    เป็นนิติบุคคล ประเภทบริษัทมหาชนจำกัด  เมื่อปี  ๒๕๑๖  นายอุ่น  เอกวานิช  ยกที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ ตั้งอยู่หมู่ที่    ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  เนื้อที่ประมาณ  ๒๑  ไร่ ให้โจทก์  ที่ดินดังกล่าวด้านทิศเหนือ  ทิศใต้  และทิศตะวันออกจดที่ดินของผู้ที่มีชื่อ ทิศตะวันตกจดชายทะเล  โจทก์เข้าครอบครองทำรั้วแสดงแนวเขตที่ดินไว้  ที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ประเภทที่ธรณีสงฆ์  ต่อมปี  ๒๕๒๑  จำเลยที่    ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  ทับที่ดินของโจทก์ดังกล่าวด้านทิศใต้บางส่วน  เป็นเนื้อที่ประมาณ ๑๐  ไร่  โดยจำเลยที่  ๑  แจ้งให้เจ้าพนักงานพิสูจน์สอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จลงในแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศว่าจำเลยที่  ๑  ซื้อที่ดินจากนายจำรัส  กองทัพ  และครอบครองทำประโยชน์ประมาณ  ๘  ปี  ซึ่งความจริงแล้วนายจำรัสและจำเลยที่  ๑  ไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว  เจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗   ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  ให้แก่จำเลยที่  ๑  โจทก์คัดค้านการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวแล้ว  ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่    ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยที่    ตกลงแบ่งที่ดินส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ให้แก่โจทก์ซึ่งจะต้องไปดำเนินการรังวัดตรวจสอบทำแผนที่ให้แน่นอน  แต่หลังจากนั้นจำเลยที่    เพิกเฉยไม่ยอมรังวัดตรวจสอบทำแผนที่ตามที่ตกลง  โจทก์ตรวจสอบเองพบว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗ ออกทับที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ  ๑๐  ไร่  และจำเลยที่    เข้าปลูกสร้างโรงเรือนและสิ่งก่อสร้างในที่ดินดังกล่าวอันเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยปกติสุข ต่อมาเมื่อวันที่  ๒๐  ธันวาคม  ๒๕๓๑  จำเลยที่    จดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว  ในส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ด้านทิศใต้ออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต  เนื้อที่    ไร่    งาน  ๒๑  ตารางวา  และเมื่อวันที่    มกราคม  ๒๕๓๒ จำเลยที่  ๑  สมคบกับจำเลยที่  ๒  และที่  ๓  จดทะเบียนโอนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  ให้แก่จำเลยที่  ๒  และที่  ๓  โดยไม่สุจริต จำเลยที่    ถึงที่    ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดิน  และต่อมาจำเลยที่    สมคบกับจำเลยที่   โดยจำเลยที่  ๑  จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.) เลขที่  ๑๓๔๗  ส่วนที่เหลือไว้กับจำเลยที่    สองครั้งโดยไม่สุจริต  ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย  ที่ดินของโจทก์ส่วนที่จำเลยที่    ทำละเมิดสามารถให้บุคคลอื่นเช่าได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าปีละ  ๑,๐๐๐,๐๐๐  บาท  ที่ดินส่วนที่จำเลยที่    และที่    ทำละเมิดสามารถให้เช่าได้ไม่ต่ำกว่าปีละ  ๑,๕๐๐,๐๐๐  บาท  โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยที่   เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์  สัญญาซื้อขาย  สัญญาจำนองดังกล่าว  ให้
จำเลยที่  ๑  ถึงที่  ๓  รื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างพร้อมบริวารออกจากที่ดินแล้ว  แต่จำเลยท้งสี่เพิกเฉย  ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.) เลขที่  ๑๓๔๗  และ  ๑๔๙๕  ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  นิติกรรมการขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  ระหว่างจำเลยที่  ๑ กับจำเลยที่    และที่    นิติกรรมการจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ระหว่างจำเลยที่    กับจำเลยที่    ขับไล่จำเลยที่    ถึง
ที่  ๓  พร้อมบริวารกับรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  และ  ๑๔๙๕  ในส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ห้ามมิให้ยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป  ให้จำเลยที่    ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับถัดจาก
วันฟ้องปีละ  ๑,๐๐๐,๐๐๐  บาท  พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ  ๗.๕  ต่อปี  ให้จำเลยที่  ๒ และที่    ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องปีละ  ๑,๕๐๐,๐๐๐  บาท  พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ  ๗.๕  ต่อปี  จนกว่าจำเลยที่    ถึงที่    จะรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สิน
ออกจากที่ดินของโจทก์
                        จำเลยที่  ๑  ให้การว่า  ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากโจทก์ไม่ระบุให้แน่ชัดว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่  ๑  ทับที่ดินของโจทก์เป็นเน้อที่เท่าใด  กว้างยาวเท่าใด  ที่ดินส่วนไหนของจำเลยที่  ๑  ทับที่ดินของโจทก์  นายอุ่น  เอกวานิช 
เป็นเพียงผู้มีสิทธิทำเหมืองแร่ในที่ดินซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่  ๓  ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต  ตามประทานบัตรที่ทางราชการออกให้  มิใช่เจ้าของที่ดินจึงไม่มีสิทธิยกที่ดินให้โจทก์และไม่มีหลักฐานการยกให้  เดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  เนื้อที่  ๑๘  ไร่  ๒  งาน  ๒๑  ตารางวา  เป็นที่ดินมือเปล่าของนายจำรัส  กองทัพ  จำเลยที่    ซื้อที่ดินดังกล่าวจากนายจำรัสเมื่อปี  ๒๕๑๓ และเข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อเนื่องตลอดมา  การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นไปตามขั้นตอนที่ทางราชการกำหนดและไม่ได้ออกทับที่ดินธรณีสงฆ์ของโจทก์  หากที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์  โจทก์ก็ไม่เคยยึดถือครอบครอง  ทำประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท  ถือว่าโจทก์สละการครอบครองแล้วการครอบครองของโจทก์ย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๑๓๗๗  และโจทก์ฟ้องเรียกคืนการครอบครองเกินกำหนด    ปี  นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง  ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนการครอบครอง  จำเลยที่    เป็นเจ้าของที่ดินมีสิทธิจดทะเบียนแบ่งแยกขายและจำนองไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์  ที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่  ๑  บุกรุกเนื้อที่  ๔  ไร่เศษ  หากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินปีละ  ๔๐,๐๐๐  บาท  ขอให้ยกฟ้อง
                        จำเลยที่  ๒  และที่  ๓  ให้การว่า  โจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่ชอบเพราะไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้มอบอำนาจและตราประทับของโจทก์  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง  ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะที่ดินที่โจทก์อ้างว่านายอุ่น  เอกวานิช  ยกให้โจทก์นั้นไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนว่าแนวเขตทั้งสี่ด้านจดที่ดินของบุคคลใดบ้าง  ที่ดินที่จำเลยที่   และที่  ๓  ซื้อจากจำเลยที่  ๑  เป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่โจทก์ได้รับการยกให้จำเลยที่    และที่    ซื้อที่ดินจากจำเลยที่    โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน  ก่อนซื้อ
ได้ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารสิทธิแล้ว  และในการแบ่งแยกที่ดินเพื่อขายให้จำเลยที่    และที่    ไม่มีผู้ใดคัดค้าน  ที่ดินดังกล่าวหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินปีละ  ๓,๐๐๐  บาท  ขอให้ยกฟ้อง
                        จำเลยที่  ๔  ให้การว่า  จำเลยที่  ๑  เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต มีสิทธนำไปจำนองโดยชอบด้วยกฎหมาย  จำเลยที่    รับจำนองโดยสุจริตและเสีย
ค่าตอบแทน  โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนอง  ขอให้ยกฟ้อง
                        ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษายกฟ้อง  ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
                        โจทก์อุทธรณ์
                       ระหว่างพิจารณาจำเลยที่    ถึงแก่กรรม  โจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกนางสมถวิล  หมั่นสู้  ภริยาจำเลยที่    เข้าเป็นคู่ความแทน  ศาลอุทธรณ์ภาค   มีคำสั่งตั้งบุคคลผู้ถูกเรียกเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 
                        ศาลอุทธรณ์ภาค  ๘  พิพากษากลับว่า  ที่ดินพิพาทที่ระบายด้วยดินสอตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย  จ.ล.๑  เป็นของโจทก์  ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต 
สัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่  ๑  กับจำเลยที่  ๒  และที่  ๓  หนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต สัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่    กับจำเลยที่    เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินพิพาทให้จำเลยที่    ถึงที่    พร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท  ให้จำเลยที่  ๑ ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ  ๑๐๐,๐๐๐  บาท  พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ  ๗.๕  ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่    จะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก  ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
                        จำเลยทั้งสี่ฎีกา
                       ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว  ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามสำเนาหนังสือรับรองสภาพวัดเอกสารหมาย  จ.๒  มีพระอธิการสหัส สิรินธโร  เป็นเจ้าอาวาสมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์  ตามสำเนาหนังสือตราตั้งเจ้าอาวาส เอกสารหมาย  จ.๓  จำเลยที่    เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด  ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย  จ.๔  เมื่อปี  ๒๕๑๒  นายอุ่น  เอกวานิช  ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานทำเหมืองแร่บริเวณหมู่ที่    ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  เข้าขุดแร่ในที่ดินบริเวณที่ชักพระของโจทก์เนื้อที่ประมาณ    ไร่  นายอุ่นตกลงให้เงินแก่โจทก์  ๓๐,๐๐๐ บาท  เพื่อสร้างเมรุเผาศพและจะยกที่ดินให้โจทก์ประมาณ  ๒๐  ไร่  ปี  ๒๕๑๖  นายอุ่นขุดแร่เสร็จได้ให้นายสมชาย  ตันติปาลีพันธ์  และนายจงเต็ก  ธรรมประดิษฐ์  คนงานของนายอุ่นดำเนินการรังวัดปักหลักเขตเป็นแนวที่ดินและทำแผนที่สังเขปแสดงอาณาเขตที่ดินเนื้อที่ประมาณ  ๒๑  ไร่  ตามรูปแผนที่เอกสารหมาย  จ.๕  มอบให้แก่โจทก์โดยนายดุสิต ลิ่มชูเชื้อ  กำนันตำบลเชิงทะเลขณะนั้นเป็นตัวแทนโจทก์รับมอบที่ดิน  หลังจากนั้น
คณะกรรมการของโจทก์เข้าปลูกต้นมะพร้าวกับต้นมะม่วงหิมพานต์ในที่ดิน  ต่อมาปี  ๒๕๑๙ จำเลยที่    บุกรุกเข้าไปในที่ดินบางส่วนของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ  ๑๐  ไร่  โดยทำลายหลักเขตและตัดต้นมะม่วงหิมพานต์  โจทก์ร้องเรียนไปที่อำเภอถลางแล้ว  แต่ทางการ
ไม่สามารถแก้ไขให้ได้  ปี  ๒๕๒๐  โจทก์มอบให้ไวยาวัจกรไปขอเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าว  แต่เจ้าพนักงานไม่ออกเอกสารสิทธิให้อ้างว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานการครอบครองที่ดิน  ปรากฏว่าระหว่างนั้นจำเลยที่    ขอออกเอกสารสิทธิในที่ดินที่บุกรุกทับที่ดิน
บางส่วนของโจทก์ดังกล่าวและเจ้าพนักงานได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  เนื้อที่  ๑๘  ไร่   งาน  ๒๐  ตารางวา  ตามเอกสารหมาย  จ.๗  ให้จำเลยที่    หนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวออกทับที่ดินของโจทก์ประมาณ  ๑๐  ไร่  โจทก์คัดค้านและร้องเรียนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  ต่อมามีการทำบันทึกข้อตกลงกัน    ที่ว่าการอำเภอถลาง  โดยจำเลยที่    ยอมแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้โจทก์ตามที่ตกลงกันโดยไม่มีเงื่อนไขแต่ประการใด  โดยจะไปทำการรังวัดตรวจสอบทำแผนที่ให้เป็นการละเอียดต่อไปตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย  จ.๘  แต่หลังจากนั้นจำเลยที่    ไม่ดำเนินการรังวัดตรวจสอบตามที่ตกลง  โจทก์มีหนังสือร้องเรียนไปอีกหลายครั้งตามเอกสารหมาย  จ.๙  ถึง  จ.๑๑  ต่อมาอำเภอถลางอ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในขตที่ราชพัสดุสมควรเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์  ของจำเลยที่    ดังกล่าว ปี  ๒๕๓๑  จำเลยที่    แบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  เนื้อที่    ไร่    งาน  ๒๑  ตารางวา  ตามเอกสารหมาย  จ.๑๙  แล้วขายที่ดินที่แบ่งแยกให้แก่จำเลยที่ ๒  และที่ ๓  และจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ส่วนที่เหลือจำนวน  ๑๒  ไร่    งาน  ๙๙  ตารางวา  ไว้กับจำเลยที่    จำเลยที่    ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทจึงไม่มีสิทธินำไปขายหรือจำนอง
                        จำเลยที่  ๑  ถึงที่  ๓  นำสืบว่า  เมื่อปี  ๒๕๑๓  จำเลยที่  ๑  ซ้อที่ดินมือเปล่าตั้งอยู่หมู่ที่    ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  เนื้อที่ประมาณ  ๑๕  ไร่  จากนายจำรัส  กองทัพ  ตามสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย  ล.๑๖ 
ต่อมาปี  ๒๕๒๑  จำเลยที่  ๑  ขอออกเอกสารสิทธิในที่ดินดังกล่าว  เจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์แล้วออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.๓ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ให้แก่จำเลยที่  ๑  ตามเอกสารหมาย  จ.๗  หลังจากนั้นโจทก์โต้แย้งคัดค้านและขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวอ้างว่าออกทับที่ดินของโจทก์ โจทก์และจำเลยที่    ตกลงกันตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย  จ.๘  โดยต้องไปทำการรังวัดตรวจสอบว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นทับที่ดินของโจทก์หรือไม่ 
แต่ต่อมาอำเภอถลางแจ้งว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ของจำเลยที่  ๑  ทับที่ราชพัสดุจึงไม่มีการดำเนินการตามที่ตกลงกับโจทก์ นอกจากที่ดินดังกล่าวแล้วจำเลยที่    ยังซื้อที่ดินในบริเวณที่ดินพิพาทจากบุคคลอื่น
เป็นจำนวนมากตามสำเนาสัญญาซื้อขายและโอนสิทธิครอบครองที่ดินเอกสารหมาย  ล.๑๘ ถึง  ล.๒๑  เมื่อปี  ๒๕๓๑  จำเลยที่  ๑  แบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  เนื้อที่ประมาณ  ๕  ไร่  แล้วขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่  ๒  และที่  ๓  และจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ส่วนที่เหลือไว้กับจำเลยที่  ๔  โจทก์ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท
                        จำเลยที่  ๔  นำสืบว่า  ก่อนจดทะเบียนรับจำนองที่ดิน  จำเลยที่  ๔  ได้ตรวจสอบแล้วเป็นที่ดินของจำเลยที่    จริง  แต่จำเลยที่    ไม่ทราบว่ามีการพิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่    จำเลยที่    รับจำนองโดยสุจริต
                       พิเคราะห์แล้ว  ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า  จำเลยที่    มีชื่อเป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗ ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  เนื้อที่  ๑๘  ไร่    งาน  ๒๐  ตารางวา 
โดยหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวออกเมื่อวันที่  ๑๖  พฤษภาคม  ๒๕๒๑ ต่อมาวันที่  ๒๐  ธันวาคม  ๒๕๓๑  จำเลยที่    แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  เป็นเนื้อที่    ไร่    งาน  ๒๑  ตารางวา 
ตามรายการจดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย  จ.๗  ครั้นวันที่   มกราคม  ๒๕๓๒  จำเลยที่    ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.๓ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  แก่จำเลยที่    และที่    ตามรายการจดทะเบียนในหนังสือรับรอง
การทำประโยชน์เอกสารหมาย  จ.๑๙  สำหรับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ที่เหลืออีก  ๑๒  ไร่  ๓  งาน  ๙๙  ตารางวา  จำเลยที่  ๑ ได้จดทะเบียนจำนองไว้กับจำเลยที่    เมื่อวันที่  ๑๘  ธันวาคม  ๒๕๓๘  ตามรายการ
จดทะเบียนในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย  จ.๗  ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นคู่ความขอให้ศาลสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาท  เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำแผนที่พิพาทส่งศาลตามเอกสารหมาย  จ.ล. ๑  ซึ่งระบุว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์อยู่ภายในเส้นสีเหลือง  ที่ดินของจำเลยที่  ๑  ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  อยู่ภายในเส้นสีเขียว  ส่วนที่ดินของจำเลยที่  ๒  และที่  ๓  ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  อยู่ภายในเส้นสีม่วง  สำหรับที่ดินพิพาทคือส่วนที่ศาลชั้นต้นแรเงาด้วยเส้นดินสอในเส้นสีเขียวและเส้นสีม่วงในแผนที่พิพาท
                        ที่จำเลยที่  ๑  ถึงที่  ๓  ฎีกาว่า  โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ  ไม่ใช่ที่ดินของโจทก์  ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย  ศาลชั้นต้น
จึงชอบที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้นั้น  เห็นว่า  คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า  ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์  จำเลยที่    ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ทับที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ  ๑๐  ไร่  ต่อมาจำเลยที่    ได้แบ่งแยก
ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  เนื้อที่    ไร่    งาน  ๒๑  ตารางวา  แล้วขายแก่จำเลย ที่    และที่    จำเลยที่    ให้การต่อสู้ว่า  โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท  ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่    ส่วนจำเลยที่    และที่    ให้การต่อสู้ว่าได้ซื้อที่ดินจากจำเลยที่    โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน  ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า  ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่  ดังที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้  ไม่มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า  ที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่  ข้อนำสืบของจำเลยที่    ถึงที่    ที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ เป็นการนำสืบนอกประเด็น  ดังนั้น  ข้อเท็จจริงที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานนอกข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลยที่    ถึงที่   และนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้  ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  ๑๔๒  (๕)  ไม่ได้  เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา  ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  ๘๗  (๑)  คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค    ที่วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ชอบนั้น  ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา  ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่   
ถึงที่  ๓  ฟังไม่ขึ้น
                        มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ต่อไปว่า  ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่  ปรากฏตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย  จ.ล. ๑  ว่า  ที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗ 
ของจำเลยที่  ๑  และอีกส่วนหนึ่งอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๔๙๕  ของจำเลยที่    และที่    จำเลยที่    ถึงที่    ผู้มีชื่อในทะเบียนที่ดินจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๑๓๗๓  แต่ข้อสันนิษฐานดังกล่าวมิใช่ข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด  หากโจทก์นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้  ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายก็ย่อมตกไป  ในปัญหานี้โจทก์มีนางนริศรา  นำชัยเจนกิจ  ผู้รับมอบอำนาจ
จากโจทก์มาเบิกความว่า  เมื่อปี  ๒๕๑๒  นายอุ่น  เอกวานิช  ซึ่งประกอบอาชีพทำเหมืองแร่ได้ให้สัญญาไว้แก่โจทก์ว่าจะยกที่ดินเนื้อที่ประมาณ  ๒๑  ไร่  ตั้งอยู่หมู่ที่   ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  ให้แก่โจทก์เพื่อแลกกับการที่โจทก์ยอมให้
นายอุ่นขุดแร่ในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ  ๓  ไร่  และนายอุ่นสัญญาว่าจะให้เงินแก่โจทก์เพื่อสร้างเมรุเผาศพจำนวน  ๓๐,๐๐๐  บาท  ด้วย  ต่อมาปี  ๒๕๑๖  นายอุ่นขุดแร่ในที่ดินของโจทก์เสร็จแล้วจึงคืนที่ดิน    ไร่  แก่โจทก์  พร้อมทั้งยกที่ดินเนื้อที่ประมาณ  ๒๑  ไร่  ตามรูปแผนที่เอกสารหมาย  จ.๕  ให้แก่โจทก์  นายสำราญ  สระบัว และนายสุชิน  ตะเคียนทอง  พยานโจทก์เบิกความว่า  พยานทั้งสองรู้เห็นการที่นายอ่นยกที่ดินให้โจทก์ดังกล่าวโดยกรรมการโจทก์ได้ไปรับมอบที่บ้านนายดุสิต  ลิ่มชูเชื้อ  กำนันตำบลเชิงทะเล  ในวันรับมอบที่ดินนายอุ่นได้มอบรูปแผนที่ตามเอกสารหมาย  จ.๕  ให้ด้วย และนายอุ่นได้ปักหลักปูนซีเมนต์เป็นแนวเขตไว้ประมาณ  ๒๐  จุด  ภายหลังรับมอบที่ดินแล้วโจทก์ได้ปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์และต้นมะพร้าวไว้ในที่ดินดังกล่าวและปักหลักเขตเพิ่มเติมเนื่องจากหลักเขตบางส่วนถูกทำลาย  นายจงเต็ก  ธรรมประดิษฐ์  พยานโจทก์เบิกความว่า  พยานเป็นลูกจ้างของบริษัทเอกวานิช  จำกัด  ตั้งแต่อายุ  ๒๐  ปี  จนถึงขณะเบิกความเมื่อปี  ๒๕๔๒  บริษัทดังกล่าวมีนายอุ่นเป็นกรรมการผู้จัดการ  เกี่ยวกับคดีนี้นายอุ่นมอบให้พยานดำเนินการรังวัดที่ดินเพื่อส่งมอบให้แก่วัดโจทก์  พยานไปดูขณะที่นายสมชาย  ตันติปาลีพันธ์  ทำการรังวัดตามแผนที่เอกสารหมาย  จ.๕  โดยพยานเป็นผู้เขียนตัวเลขกำกับหมุดในแผนที่ดังกล่าว  ต่อมาพยานได้นำแผนที่เอกสารหมาย จ.๕  ไปมอบให้แก่วัดโจทก์โดยผ่านทางกำนัน  นายสมชายพยานโจทก์เบิกความว่า พยานเป็นลูกจ้างของนายอุ่นมาตั้งแต่ปี  ๒๕๑๖  จนถึงขณะเบิกความเมื่อปี  ๒๕๔๒ 
 พยานเคยได้รับคำสั่งจากนายจงเต็กให้ไปรังวัดที่ดินซึ่งนายจงเต็กชี้ให้รังวัด  เมื่อรังวัดแล้วใช้ไม้กลมตอกเป็นหมุดแสดงอาณาเขต  ต่อมาหลังจากรังวัดไม่เกิน    เดือน  นายอุ่นสั่งให้นำเสาคอนกรีตไปปักไว้แทนเสาไม้  รูปแผนที่ที่ดินที่พยานรังวัดปรากฏตามเอกสาร
หมาย  จ.๕  จำเลยที่  ๑  เบิกความว่า  จำเลยที่  ๑  ซื้อที่ดินจากนายจำรัส  กองทัพ เนื้อที่ประมาณ  ๑๕  ไร่  ตั้งอยู่หมู่ที่    ตำบลเชิงทะเล  อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต ทำสัญญาซื้อขายไว้เป็นหลักฐาน  แต่ต้นฉบับสูญหาย  จำเลยที่    ได้แจ้งความไว้ต่อเจ้าพนักงานตำรวจเป็นหลักฐานตามสำเนาสัญญาซื้อขายและรายงานประจำวันเอกสารหมาย  ล.๑๖  ล.๑๗  ต่อมาจำเลยที่    ได้ซื้อที่ดินติดกับที่ดินของนายจำรัสอีกหลายแปลง  รวมเป็นที่ดิน  ๓๓  แปลง  เนื้อที่ไม่น้อยกว่า  ๘๐  ไร่  ที่ดินพิพาท
เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำนวน  ๘๐  ไร่ดังกล่าว  ต่อมาปี  ๒๕๒๑  จำเลยที่  ๑  ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง  จังหวัดภูเก็ต  ตามแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์
เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศและหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย  จ.๖  และ  จ.๗  นายมานิตย์  พันธ์ฉลาด พยานจำเลยที่    ถึงที่    เบิกความว่า  เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายโหมด  ต่อมา
ตกได้แก่นายสาด  และต่อมาตกได้แก่นายจำรัสบุตรนายสาด  นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านเข้าไปจับจองอีกหลายคน  ต่อมานายสาด  นายจำรัส  และชาวบ้านขายที่ดินให้แก่จำเลยที่    เห็นว่า  ในปัญหาว่านายอุ่นยกที่ดินให้โจทก์จริงหรือไม่นั้น  พยานบุคคล
ของโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกัน  พยานโจทก์ดังกล่าวล้วนไม่มีส่วนได้เสียกับที่ดินพิพาท  คำเบิกความจึงน่าเชื่อถือ  นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับเอกสารหมาย  ล.๒ ซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่  ๒๕  กุมภาพันธ์  ๒๕๑๒  ระบุว่า  นายอุ่นสัญญาจะยกที่ดินให้แก่โจทก์เนื้อที่ไม่ต่ำกว่า  ๑๕  ไร่  ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่านายอุ่นได้ยกที่ดินให้แก่โจทก์จริง  ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า  พยานโจทก์ไม่สามารถยืนยันได้ว่าที่ดินที่นายอุ่นยกให้โจทก์อยู่ตรงบริเวณใดนั้น  เมื่อพิจารณาแผนที่พิพาทเอกสารหมาย  จ.ล.๑ เปรียบเทียบกับแผนที่เอกสารหมาย  จ.๕  ซึ่งเป็นรูปแผนที่ของที่ดินที่นายอุ่นยกให้โจทก์ และแผนที่ตามเอกสารหมาย  ล.๑๑  ที่จำเลยที่    ให้นายพิศิษฐ์ศักดิ์  สาเหล่  ทำขึ้นแสดงบริเวณที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยแล้วจะเห็นได้ว่ามีรูปที่ดินใกล้เคียงกัน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่านายอุ่นยกที่ดินตามแผนที่เอกสารหมาย  จ.๕  ซึ่งรวมถึงที่ดิน พิพาทตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย  จ.ล.๑  ด้วยให้แก่โจทก์  พยานหลักฐานฝ่ายจำเลย
ที่จำเลยที่  ๑  นำสืบว่าซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายจำรัสเมื่อปี  ๒๕๑๓  ตามสำเนาสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย  ล.๑๖  โดยต้นฉบับสัญญาสูญหายจำเลยที่  ๑  ได้แจ้งความไว้ต่อเจ้าพนักงานตำรวจเป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย  ล.๑๗  นั้น  ไม่ปรากฏว่าได้มีการระบุถึงเอกสารหมาย  ล.๑๖  ไว้ในเอกสารหมาย  ล.๑๗  แต่อย่างใด  แม้จำเลยที่    จะมีมานิตย์อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่    ตำบลเชิงทะเล  ตั้งแต่ปี  ๒๕๒๑  ถึงปี  ๒๕๓๘ มาเบิกความว่า  นายจำรัสขายที่ดินให้แก่จำเลยที่  ๑  มานานกว่า  ๑๐  ปีแล้ว  แต่พยานก็เบิกความต่อไปว่า  พยานทราบภายหลังจากการที่พยานตรวจดูเอกสารที่จำเลยที่  ๑  ยื่นขอสอบสวนสิทธิ  ดังนี้  ข้ออ้างของจำเลยที่  ๑  ที่ว่าได้ที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากนายจำรัสตั้งแต่ปี  ๒๕๑๓  จึงมีแต่คำเบิกความของจำเลยที่  ๑  เพียงปากเดียวลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน  นอกจากนี้โจทก์และจำเลยที่  ๑  นำสืบรับกันว่า  หลังจากจำเลยที่  ๑  ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ตามเอกสารหมาย จ.๗  แล้ว  โจทก์ร้องเรียนต่อทางราชการว่าจำเลยที่  ๑  ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวทับที่ดินของโจทก์  ทั้งสองฝ่ายจึงได้ทำบันทึกข้อตกลงกันต่อหน้านายอำเภอถลางเมื่อวันที่    กรกฎาคม  ๒๕๒๑  ตามเอกสารหมาย  จ.๘  โดยข้อความในเอกสารดังกล่าวข้อ    ระบุว่า  ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ตำบลเชิงทะเล  ซึ่งได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดสอบสวนสิทธิ  ตลอดจนรับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปแล้ว  แต่โจทก์อ้างว่าทับที่ดินของโจทก์ส่วนหนึ่งนั้น  จำเลยที่    ยอมตกลงแบ่งที่ดินแปลงนี้ให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกันโดยไม่มีเงื่อนไขแต่ประการใด  และข้อ    ระบุว่า  นายสัมฤทธิ์  สระบัว  ไวยาวัจกรของโจทก์ยอมตกลงรับที่ดินส่วนที่แบ่งออกมาจากข้อ    ตามอาณาเขตซึ่งจำเลยที่    กับโจทก์จะไปรังวัดตรวจสอบทำแผนที่ให้เป็นการละเอียดและแน่นอนต่อไป  ดังนี้ย่อมเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่    ยอมรับว่าออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ทับที่ดินของโจทก์  เพียงแต่ยังไม่ทราบจำนวนเนื้อที่แน่นอนว่าทับกันเป็นจำนวนเท่าใด  โดยจะต้องรังวัดให้เป็นที่ชัดเจนแน่นอนแล้วจำเลยที่    จะแบ่งให้โจทก์  หาใช่ยังไม่แน่นอนว่าทับกันหรือไม่ดังที่จำเลยที่    กล่าวอ้างไม่  พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสี่  และสามารถหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้  ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยนายอุ่นยกให้ตั้งแต่ปี  ๒๕๑๖  ที่จำเลยที่    ถึงที่    ฎีกาว่า  โจทก์ไม่เคยใช้ที่ดินพิพาททำพิธีทางศาสนาและไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ธรณีสงฆ์ของโจทก์นั้น  เห็นว่า  ที่ดินพิพาทเป็นสมบัติของโจทก์ประเภทที่ธรณีสงฆ์  โจทก์จึงอาจใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่ใช่ทำพิธีทางศาสนาได้  และเมื่อโจทก์ได้รับยกให้ซึ่งที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แล้วแม้จะไม่ได้ขึ้นทะเบียนก็ไม่ทำให้ไม่เป็นที่ธรณีสงฆ์ดังที่จำเลยที่    ถึงที่    ฎีกา  ที่จำเลยที่    ถึงที่    ฎีกาว่า  โจทก์สละการครอบครองไม่ยึดถือที่ดินพิพาทต่อไป  การครอบครองของโจทก์สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๑๓๗๗  วรรคหนึ่ง  นั้น  ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ได้ปลูก
ต้นมะม่วงหิมพานต์และต้นมะพร้าว  รวมทั้งได้ปักเสาปูนซิเมนต์แสดงอาณาเขต  แสดงว่า
โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว  การที่ต่อมาจำเลยที่  ๑  เข้าแย่งการครอบครอง
จะถือว่าโจทก์สละการครอบครองหาได้ไม่  ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่  ๑  ถึงที่  ๓  ฟังไม่ขึ้น 
ที่จำเลยที่  ๑  ถึงที่  ๓  ฎีกาว่า  โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดเกิน  ๑๐  ปี  นับแต่วันทำละเมิดโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายนั้น  เห็นว่า  จำเลยที่  ๑  ถึงที่  ๓  ไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกค่าเสียหายขาดอายุความ  ฎีกาข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค  ๘  ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  ๒๔๙  วรรคหนึ่ง  ฎีกานอกจากนี้ของจำเลยที่    ถึงที่    ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
                        มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่  ๔  ต่อไปว่า  โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจำนองระหว่างจำเลยที่    กับจำเลยที่   หรือไม่  โดยจำเลยที่   ฎีกาว่า  จำเลยรับจำนองโดยสุจริตไม่รู้เห็นกรณีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่   
ก่อนรับจำนอง  เห็นว่า  เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่  ๑  ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส. ๓ ก.)  เลขที่  ๑๓๔๗  ทับที่ดินของโจทก์โดยไม่ชอบ  จำเลยที่  ๑  ก็ไม่มีสิทธินำที่ดินของโจทก์ไปจำนองไว้กับจำเลยที่    ดังนั้น  แม้จำเลยที่    จะรับจำนองโดย
สุจริต  โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์  รวมทั้งนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่  ๑  กับจำเลยที่  ๔  ได้ ฎีกาของจำเลยที่    ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
                        พิพากษายืน  ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

นายชินวิทย์  จินดา  แต้มแก้ว
นายพีรพล  พิชยวัฒน์
นายพิสิฐ  ฐิติภัค                          

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น